เอาธาตุอาหารของมูลสัตว์มาฝาก
20/02/2010 — นายเกษตรดีดี.คอม
เพื่อการเลือกใช้ กับพืชที่เราปลูกครับ kasetdd เลยไปหาตารางธาตุอาหารต่อพืชที่มีในมูลสัตว์แต่ละชนิด

จากข้อมูล แทบจะร้องโอ้โหเลยสำหรับมูลค้างคาว ทำไมมันสูงปี๊ดอย่างงี้ ทั้ง N ทั้ง P แบบนี้ก็สบายไม้ดอกชอบแน่ แถมไม้ใบ ก็มีเฮด้วยกันอ่ะสิ
จากข้อมูล แทบจะร้องโอ้โหเลยสำหรับมูลค้างคาว ทำไมมันสูงปี๊ดอย่างงี้ ทั้ง N ทั้ง P แบบนี้ก็สบายไม้ดอกชอบแน่ แถมไม้ใบ ก็มีเฮด้วยกันอ่ะสิ
เดี๋ยวนะ ลืมกันหรือยังสำหรับหน้าที่ของสารแต่ละตัว งั้นขออนุญาตทบทวนให้คร่าวๆครับ
ไนโตรเจน N ทำหน้าที่บำรุง ใบ ลำต้น ยอดอ่อน พวกนี้ล่ะ เพื่อการสังเคราะห์แสงที่สมบูรณ์แบบ อย่าง ไม้ใบ ผักใบเขียว
ฟอสฟอรัส P บำรุง ดอก ผล เมล็ด ตั้งแต่ สีสัน ผลสุกหวาน เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์ อย่าง ไม้ผล ไม้ดอก
โพรแตสเซียม K บำรุง ระบบราก หัว อย่าง มันสำปะหลัง ระบบรากของพืช
ใครว่าขี้หมูเหม็น...ถ้าไปถามเกษตรกรบางท่านตอนนี้อาจได้คำตอบว่า ไม่จริง?
เพราะนอกจากไม่เหม็นแล้วยังมีประโยชน์ต่อพืชเศรษฐกิจของเราอย่างมหาศาล ช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ย แถมช่วยให้พืชเติบโตให้ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัว นี่คือคำตอบของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการใช้น้ำสกัดจากมูลสัตว์ เช่น หมู ไก่ วัว โดยเฉพาะกับหมูมาใช้ฉีดพ่นทางใบทำให้พืชผลเจริญเติบโตงอกงามมีใบเขียว ก้านตรงแข็งแรงและให้ผลผลิตเพิ่มสูงกว่าเดิมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 สาเหตุเพราะ การเลี้ยงสัตว์แบบฟาร์มจะใช้ธาตุอาหารเช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ โซเดียม เหล็ก ทองแดง สังกะสี แมงกานีส เป็นต้น ลงในอาหารเพื่อเร่งการเจริญเติบโต แต่สัตว์สามารถย่อยหรือดูดซึมไปใช้ได้เพียง 30-50% ที่เหลือจึงถูกขับออกมาเป็นมูล ดังนั้นมูลสัตว์โดยเฉพาะมูลหมูจึงมีสารอาหารที่ดีที่สุด และพืชเช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน ก็ต้องการสารอาหารที่ว่านี้เช่นกัน
คุณลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. บอกว่าผลงานวิจัยดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับ ธ.ก.ส. ซึ่งได้มีการนำความรู้นี้ไปถ่ายทอดให้กับชาวบ้านทดลองทำ เพื่อเป็นการกำจัดของเสียจากฟาร์มหรือเป็นการนำของเสียมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเป็นการช่วยลดมลพิษทางกลิ่น ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืนในด้านการประกอบอาชีพและการลดต้นทุนการผลิตโดยไม่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี แต่ปีแรกไม่มีใครสนใจทำแถมยังค่อนแคะว่า เอางานไปเพิ่ม! เพราะเดิมปลูกข้าว ปลูกมันสำปะหลังไปแล้วทิ้งเอาไว้ให้เทวดาดูแล อย่างดีก็เอาปุ๋ยเคมีไปใส่ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว นี่อะไร?ต้องคอยมาฉีดพ่นน้ำสกัดจากมูลหมูทุก 15 วัน ใครจะทำไหว? ชาวบ้านตั้งป้อมไม่ยอมรับ!!!! ธ.ก.ส.จึงขออาสาสมัครทดลองทำเปรียบเทียบให้ชาวบ้านคนอื่นเห็น ระหว่างแปลงที่ดูแลแบบใช้น้ำหมักมูลสุกรกับการปลูกแบบเดิม ผลออกมาต่างกันชัดเจน แต่คนก็ยังเข้าร่วมโครงการน้อยอยู่ดี
แต่อย่างว่าในวิกฤติย่อมมีโอกาส.....ภาวะภัยแล้งช่วงที่ผ่านมาผนวกกับโรคเพลี้ยระบาดในข้าวและมันสำปะหลังเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้ชาวบ้านหันมาปลูกข้าวโดยวิธีนี้ ยกตัวอย่างชาวบ้านที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ที่บอกว่า ธ.ก.ส.มาชวนทำหลายหนแต่ผลัดมาตลอด แต่คราวนี้โดนเพลี้ยลงเสียหายทั้งแปลง ยาฉีดฆ่าแมลงก็เอาไม่อยู่ เพื่อนบ้านรอบ ๆ ก็เสียหายหมด ยกเว้นของคนที่ปลูกข้าวแบบใช้น้ำสกัดมูลสุกร จึงไปขอมาฉีดพ่นควบคู่กับยาฆ่าแมลง ปรากฏว่าข้าวฟื้นและรอดเหลือให้เก็บเกี่ยว ...ในงานวันข้าวขาวดอกมะลิ 105 อำเภอพร้าว ซึ่งเป็นงานประจำปีในระดับท้องถิ่นจึงได้ยกเอาไฮไล้ท์เรื่องน้ำสกัดจากมูลสัตว์มาเป็นฐานความรู้สำคัญให้กับชาวบ้าน พร้อมกับเชิญเกษตรกรผู้ที่เพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตจากการใช้น้ำสกัดมูลสุกรมาเป็นวิทยากรแบบเพื่อนช่วยเพื่อน หรือสอนชาวบ้านด้วยกันเองด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจากความพยายามที่จะให้ชาวบ้านหันมามองหรือใส่ใจในเรื่องนี้อยู่เกือบ 2 ปี มีผู้เข้าร่วมโครงการไม่ถึง 600 คน แต่ปีนี้มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการถึง 3,210 คน ซึ่งปีหน้า ธ.ก.ส.ได้บรรจุเข้าเป็นหลักสูตรหนึ่งของศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงของ ธ.ก.ส. โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้ร่วมโครงการประมาณ 7,600 ราย
น้ำสกัดจากมูลหมูหรือขี้หมูอาจจะไม่ใช่คำตอบแค่การลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ หรือการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเท่านั้น แต่คำตอบที่แท้จริงอยู่ที่ความเอาใจใส่ต่องานที่ทำ เช่น คนเป็นครูต้องสอนนักเรียนทุกวัน คนเป็นตำรวจต้องหมั่นดูแลรักษาความสงบปลอดภัยให้ชาวบ้าน คนทำงานออฟฟิศต้องไปทำงานทุกวันและต้องทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย เกษตรกรลงมือทำการเกษตรแล้ว ถ้าจะให้เกิดผลดีก็ต้องหมั่นดูแล บำรุงรักษา หาวิธีการที่จะลดต้นทุน เพื่อที่จะได้มีกำไรเพิ่มมากขึ้น มิใช่ปลูกแล้วทิ้ง!! แล้วรอ!! รอการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ โดยลืมใส่ใจบางช่วงบางตอน ทำให้สูญเสียโอกาสที่ควรจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หลักการของขบวนการขี้หมูกู้ชาติจริง ๆ อยู่ตรงนี้นี่เอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น